ผู้ติดตาม

ก้าวทันโลกศึกษา1





กฎหมายคืออะไร ?


เชื่อได้เลยว่าทุกคนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จักคำๆนี้เป็นอย่างดี แต่หากจะให้อธิบายความหมายของคำนี้ หลายๆคนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งจริงๆแล้วแม้แต่ในทางวิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกต่างกันออกไปมากมาย เนื่องจากเป็นการยากที่จะนิยามความหมายออกมาให้ครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่พอจะสรุปได้ดังนี้
กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม มนุษย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์สังคมจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากความคิด อุปนิสัย สภาพแวดล้อม เพศ ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป จึงจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย กฎหมายบางอย่างก็กำหนดขึ้นเป็นขั้นตอนหรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ นอกจากนี้การบัญญัติกฎหมายเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้คนในสังคมปฏิบัติตามในแนวทางเดียวกัน ก็จะสร้างความเป็นระเบียบให้เกิดขึ้นอีกด้วย เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายอันสำคัญของสังคม ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว ก็จะมาจากคนในสังคมนั่นเอง

ความสำคัญของกฏหมาย


กฎหมายมีความสำคัญต่อสังคมในด้านต่างๆ ดังนี้
1. กฎหมายสร้างความเป็นระเบียบและความสงบเรียบร้อยให้กับสังคมและประเทศชาติ เมื่ออยู่รวมกันเป็นสังคมทุกคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติยึดถือเพื่อความสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของกลุ่ม
2. กฎหมายเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พลเมืองไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนตามข้อบังคับของกฎหมาย ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องได้รับโทษ กฎหมายจะเกี่ยวข้องกับ การดำรงชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

3. กฎหมายก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม คนเราทุกคนย่อมต้องการความ ยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น การที่จะตัดสินว่าการกระทำใดถูกต้องหรือไม่นั้น ย่อมต้องมีหลักเกณฑ์ ฉะนั้น กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่เป็นหลักของความยุติธรรม
4. กฎหมายเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทางใด หรือคุณภาพของพลเมืองเป็นอย่างไร จำเป็นต้องมีกฎหมายออกมาใช้บังคับ เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายของการพัฒนาที่กำหนดไว้ ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐเป็นผู้จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายนั้น ย่อมส่งผลให้ คุณภาพด้านการศึกษาของประชาชนสูงขึ้น หรือการที่กฎหมายกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ พิทักษ์ปกป้อง และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ย่อมทำให้สังคมและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมีมาตรฐานดีขึ้น
ดังนั้น การที่ประเทศใดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เป็นไปในแนวทางใดก็ตามถ้าได้มีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นหลักการให้ทุกคนปฏิบัติตาม ก็ย่อมทำให้การพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชนประสบผลสำเร็จได้สูงกว่าการปล่อยให้เป็นไปตามวิถีการดำเนินชีวิตของสังคมตามปกติ

องค์ประกอบของกฏหมาย

ประชาชน ได้แก่ ผู้กระทำผิด หรือผู้เสียหาย ดังนั้นประชาชนต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฏหมายในชีวิตประจำวันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง พนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจ ได้แก่ เจ้าพนักงานที่กฏหมายให้อำนาจและหน้าที่ในการใช้กฏหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้

พนักงานฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน จับกุม ป้องกัน ปราบปรามผู้กระทำผิด
ตำรวจ ตามประมวลกฏหมายอาญา ตำรวจมีหน้าที่สืบสวน จับกุม สอบสวน เปรียบเทียบปรับ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจับกุมหรือควบคุมบุคคลที่ทำความผิดทางแพ่ง
เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจจับกุม ป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดตามกฏหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง เช่น พนักงานป่าไม้ ตำรวจศุลกากร เป็นต้น
พนักงานอัยการ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่าสมควรฟ้องหรือไม่ในคดีอาญา และทำหน้าที่เป็นทนายโจทย์หรือทนายจำเลย ว่าความให้ส่วนราชการในคดีแพ่ง ทนายความ คือ นักกฏหมายที่จดทะเบียนและได้รับอนุญาต โดยมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงจากฝ่ายโจทย์หรือจำเลยเสนอต่อศาลเพื่อพิจารณา ศาลยุติธรรม คือ ผู้ที่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษา ซึ่งมี 3 ระดับ คือ ผู้พิพากษาชั้นต้น ผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ และผู้พิพากษาศาลฏีกา พนักงานบังคับคดีและพนักงานราชทัณฑ์ มีหน้าที่บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล


ประเภทของกฏหมาย

(๑) พิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณี (๒) พิจารณาโดยพิจารณาจากลักษณะแห่งการใช้กฎหมาย
๑. การแบ่งแยกประเภทโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณี กล่าวคือ แบ่งแยกโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ทางกฎหมาย หรือ “นิติสัมพันธ์” ระหว่างคู่กรณี/คู่สัญญา ได้แก่ (๑) กฎหมายเอกชน (Private Law) (๒) กฎหมายมหาชน (Public Law) (๓) กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) กฎหมายเอกชน ได้แก่ กฎหมายที่กำหนดถึงสิทธิ หน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ซึ่งสังเกตได้ว่า ฐานะของคู่กรณี (ประธานและ/หรือกรรม) มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน กฎหมายเอกชนสามารถยกตัวอย่างกฎหมายที่สำคัญที่เรียกในหมู่นักนิติศาสตร์ว่า “กฎหมายสี่มุมเมือง” ได้ดังนี้
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ทางกฎหมายของเอกชนทางแพ่งและทางพาณิชย์ พิจารณาได้จากบรรพ (หมวด) ต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖ บรรพ ๑๗๕๕ มาตรา ดังต่อไปนี้
บรรพ ๑ หลักทั่วไป (มาตรา ๑-๑๙๓) แบ่งออกเป็น ๖ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
ลักษณะ ๒ บุคคล
ลักษณะ ๓ ทรัพย์
ลักษณะ ๔ นิติกรรม
ลักษณะ ๕ ระยะเวลา
ลักษณะ ๖ อายุความ
บรรพ ๒ หนี้ (มาตรา ๑๙๔-๔๕๒) แบ่งออกเป็น ๕ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
ลักษณะ ๒ สัญญา
ลักษณะ ๓ จัดการงานนอกสั่ง
ลักษณะ ๔ ลาภมิควรได้
ลักษณะ ๕ ละเมิด
บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา (มาตรา ๔๕๓-๑๒๙๗) แบ่งออกเป็น ๒๓ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ ซื้อขาย
ลักษณะ ๒ แลกเปลี่ยน
ลักษณะ ๓ ให้
ลักษณะ ๔ เช่าทรัพย์
ลักษณะ ๕ เช่าซื้อ
ลักษณะ ๖ จ้างแรงงาน
ลักษณะ ๗ จ้างทำของ
ลักษณะ ๘ รับขน
ลักษณะ ๙ ยืม
ลักษณะ ๑๐ ฝากทรัพย์
ลักษณะ ๑๑ ค้ำประกัน
ลักษณะ ๑๒ จำนอง
ลักษณะ ๑๓ จำนำ
ลักษณะ ๑๔ เก็บของในคลังสินค้า
ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน
ลักษณะ ๑๖ นายหน้า
ลักษณะ ๑๗ ประนีประนอมยอมความ
ลักษณะ ๑๘ การพนันและขันต่อ
ลักษณะ ๑๙ บัญชีเดินสะพัด
ลักษณะ ๒๐ ประกันภัย
ลักษณะ ๒๑ ตั๋วเงิน
ลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท
ลักษณะ ๒๓ สมาคม
บรรพ ๔ ทรัพย์สิน (มาตรา ๑๒๙๘-๑๔๓๔) แบ่งออกเป็น ๘ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
ลักษณะ ๒ กรรมสิทธิ์
ลักษณะ ๓ ครอบครอง
ลักษณะ ๔ ภาระจำยอม
ลักษณะ ๕ อาศัย
ลักษณะ ๖ สิทธิเหนือพื้นดิน
ลักษณะ ๗ สิทธิเก็บกิน
ลักษณะ ๘ ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
บรรพ ๕ ครอบครัว (มาตรา ๑๔๓๕-๑๕๙๘) แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ การสมรส
ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร
ลักษณะ ๓ ค่าอุปการะเลี้ยงดู
บรรพ ๖ มรดก (มาตรา ๑๕๙๙-๑๗๕๕) แบ่งออกเป็น ๖ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
ลักษณะ ๒ สิทธิโดยธรรมในการรับมรดก
ลักษณะ ๓ พินัยกรรม
ลักษณะ ๔ วิธีจัดการและปันทรัพย์มรดก
ลักษณะ ๕ มรดกที่ไม่มีผู้รับ
ลักษณะ ๖ อายุความ
กฎหมายอาญา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กำหนดความประพฤติของคนในสังคม ว่าการกระทำอย่างไรต้องห้ามกระทำ หากกระทำต้องรับโทษ ประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๓ ภาค
ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป (มาตรา ๑-๑๐๖) แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป
ลักษณะ ๒ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ
ภาค ๒ ความผิด (มาตรา ๑๐๗-๓๖๖) แบ่งเป็น ๑๒ ลักษณะ
ลักษณะ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ลักษณะ ๒ ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง
ลักษณะ ๓ ความผิดเกี่ยวกับความยุติธรรม
ลักษณะ ๔ ความผิดเกี่ยวกับศาสนา
ลักษณะ ๕ ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
ลักษณะ ๖ ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
ลักษณะ ๗ ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง
ลักษณะ ๘ ความผิดเกี่ยวกับการค้า
ลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ
ลักษณะ ๑๐ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
ลักษณะ ๑๒ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ภาค ๓ ลหุโทษ (มาตรา ๓๖๗-๓๙๘)
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงวิธีการหรือขั้นตอนในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีความแพ่ง การฟ้องร้องบังคับคดีในทางทรัพย์สินหรือบังคับให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือห้ามกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด มีขั้นตอนตั้งแต่การฟ้องคดี การยื่นฟ้องคดี การไต่สวนมูลฟ้อง การชี้สองสถาน การสืบพยาน การพิจารณาคดีของศาล การชั่งน้ำหนักคำพยาน การพิจารณาพิพากษา การอุทธรณ์ ฎีกา ตลอดจนการบังคับคดี
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงวิธีการหรือขั้นตอนในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีความอาญาเพื่อให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิด กฎหมายนี้ได้กำหนดวิธีการยื่นฟ้องคดีต่อศาล การร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจหรือเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง อำนาจสั่งฟ้อง การประทับรับฟ้อง การพิจารณาพิพากษาคดี การชั่งน้ำหนักพยาน การพิพากษา ตลอดจนการบังคับคดี (ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน)
กฎหมายมหาชนกฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐ กับเอกชน โดยฐานะของคู่กรณีฝ่ายปกครองอยู่เหนือกว่าประชาชน (เอกชน) สามารถยกตัวอย่างให้เห็นได้ดังนี้ ได้แก่ กฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐ กับเอกชน โดยฐานะของคู่กรณีฝ่ายปกครองอยู่เหนือกว่าประชาชน (เอกชน) สามารถยกตัวอย่างให้เห็นได้ดังนี้
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กฎหมายรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเหตุเพราะมาตรา ๖ แห่งรัฐธรรมนูญ บัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับมิได้” กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อวางระเบียบในการปกครองประเทศ และกำหนดบทบาทหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ รวมตลอดจนถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
กฎหมายปกครอง
กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายปกครอง (หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ) กับรัฐ และต่อประชาชน (เอกชน) เช่น กฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างทางปกครอง (การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง เช่น กระทรวง ทบวง กรมการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาค เช่น จังหวัด การบริหารราชการแผ่นดินส่วนท้องถิ่นเช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล) การกระทำทางปกครอง ความรับผิดทางปกครอง การควบคุมฝ่ายปกครองโดยศาลปกครอง เป็นต้น
กฎหมายการคลังและการภาษีอากร
กฎหมายการคลังและภาษีอากรเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการหารายได้เข้ารัฐและหน่วยงานของรัฐ การจัดการทรัพย์สินที่เป็นเงินตราของรัฐ เช่น การเก็บรักษา การจัดทำบัญชี และการใช้จ่ายเงินของรัฐโดยงบประมาณแต่ละปี
กฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ กฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ซึ่งที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศมีที่มาด้วยกันอยู่หลายแหล่งได้แก่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ปฏิบัติสืบเนื่องมา สนธิสัญญา (Treaty) ความตกลงระหว่างประเทศ (Convention)
กฎหมายระหว่างประเทศสามารถแบ่งเป็นแผนกคดีต่าง ๆ ได้ ๓ แผนก
๑. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
หมายถึง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ของบุคคลที่มีข้อพิพาทเกี่ยวเนื่องกับต่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ เช่น สัญชาติ การเปลี่ยนสัญชาติ การโอนสัญชาติ ทรัพย์สิน นิติกรรมสัญญา เป็นต้น
๒. กฎหมายระหว่างประเทศแผนคดีเมือง
หมายถึง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เช่น การกำหนดอาณาเขตของรัฐ หลักเกณฑ์ในการจัดทำสนธิสัญญาต่าง ๆ หรือ ภาวะสงคราม เป็นต้น
๓. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
หมายถึง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์รัฐในทางอาญา เช่นการกำหนดเขตอำนาจศาล การส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นต้น
ศักดิ์ของกฏหมาย ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่ 1. รัฐธรรมนูญ 2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 3. พระราชบัญญัติ 4. พระราชกำหนด 5. พระราชกฤษฎีกา 6. กฎกระทรวง 7. กฎหมายที่ตราโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่มาของกฏหมาย

1. กฏหมายลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติตามแบบพิธีและขั้นตอนที่กำหนดไว้ โดยตราขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและประกาศให้ประชาชนทราบ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เป็นต้น กฎหมายของไทยส่วนใหญ่ที่ศาลหรือผู้ใช้นำมาปรับแก่คดีคือ กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญ
2. กฎหมายจารีตประเพณี คือ กฎหมายที่ไม่ได้มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ประชาชนได้ประพฤติตามแบบอย่างกันมาเป็นเวลาช้านานโดยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง และรัฐใช้ข้อปฏิบัติเหล่านี้เสมือนกฎหมายอย่างหนึ่ง โดยมีศาลยุติธรรมรับรองกฎหมายจารีตประเพณี
3. หลักกฎหมายทั่วไป คือ หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป ของกฎหมายที่ยึดหลักความเป็นธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป โดยศาลยุติธรรมเป็นผู้รับรองหลักกฎหมายว่ามีฐานะเป็นกฎหมายและมีผลบังคับใช้ได้

คลิกทำข้อสอบ